วิธีการรักษาความปลอดภัยในเครือข่าย
ประกอบด้วย
1. การใช้รหัสผ่านและการแสดงตัวตน (Password and ID Systems)
การใช้รหัสผ่านของการรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลทุกชนิด กำหนดให้มีรหัสผ่านเพื่อการตรวจสอบผู้ใช้ และรหัสผ่านถือว่าเป้นความลับ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่ให้ผู้อื่นรู้ได้ แต่ถ้าเมื่อใดผู้อื่นรู้ ผู้ใช้ก็สามารถเปลี่ยนรหัสได้ตลอดเวลา
การแสดงตัวตนมีความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้รหัสผ่าน เพราะจะนำข้อมูลทางกายภาพของบุคคลไปใช้แทนรหัสผ่าน ซึ่งเหมาะกับหน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง
2. การตรวจสอบ (Auditing)
การตรวจสอบคอมพิวเตอร์โดยใช้ซอฟต์แวร์ในการตรวจสอบ เพื่อตรวจสอบผู้ที่เข้ามาติดต่อกับระบบ โดยการบันทึกข้อมูลของการเข่ามาใช้งานทุกครั้งไว้ในล็อกไฟล์ (Log Files) โปรแกรมจะดำเนินการบันทึกทั้งวันที่ เวลา บุคคลที่เข้ามาใช้งาน สามารถทำการตรวจสอบข้อมูลย้อยหลังได้
3. การกำหนดสิทธิ์ในการใช้งาน
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยกลุ่มของผู้ใช้หลายกลุ่มที่ร่วมปฏิบัติงานอยู่และต้องมีการแบ่งชั้นความลับของข้อมูลด้วย การกำหนดสิทธิ์ในการใช้งานให้แต่ละบุคคลอาจจะอยู่ในรูปของรหัสผ่าน แต่ในทุกส่วนของระบบงานจะมีผู้ทำหน้าที่ดูแลทั้งระบบทั้งหมด ถือว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด และเป้นผู้ที่กำหนดสิทธิ์ในการใช้งานให้แก่บุคคลอื่นด้วย บุคคลนี้เราจะเรียกว่า "Administrator หรือ Admin"
4. ไวรัสคอมพิวเตอร์
เป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒาขึ้นโดยมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่ เช่น ทำลายข้อมูล หรือสร้างความเสียหายให้แก่ระบบแต่มีจุดประสงค์เพียงแค่สร้างความรำคาญให้แก่ผู้ใช้ เมื่อมีไวรัสเกิดขึ้นมาก็ต้องมีโปรแกรมป้องกันไวรัส เพื่อทำหน้าที่ตรวจจับไวรัสและล้าง หรือลบไวรัสเหล่านั้นทิ้งไป แต่ไวรัสก็พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับโปรแกรมป้องกันไวรัส
- ไวรัสคอมพิวเตอร์ เช่น คลิปวีดีโอ flashy.exe Hoax ภาษาจีน เป็นต้น
- โปรแกรมป้องกันไวรัส เช่น McAfee AVG AntiVirus PC-cillin เป็นต้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น